วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

บทความที่3 เรื่อง 10 อันดับสถานที่มหัศจรรย์ ที่ไม่คิดว่าจะมีในโลก


10 อันดับสถานที่มหัศจรรย์ ที่ไม่คิดว่าจะมีในโลก

         โลกของเรามีสถานที่มากมายที่มีลักษณะพิเศษอันเป็นเอกลักษณ์ ที่เกิดจากการรังสรรค์ของธรรมชาติกินเวลานับหมื่นนับแสนปี ทำให้สถานที่หลายแห่งมีความงดงามและแปลกประหลาดจนแทบไม่อยากจะเชื่อว่าสถานที่แห่งนั้นจะมีอยู่จริงบนโลกใบนี้ แต่จะมีสถานที่ใดบ้างที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นสถานที่ที่แปลกสุด ๆไปดูพร้อม ๆ กันดีกว่าว่ามีที่ไหนบ้าง

1. เกาะโซโคตร้า (Socotra Island)
           เกาะโซโคตร้า เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาเกาะทั้ง 4 ของประเทศเยเมน ในมหาสมุทรอินเดีย เกาะแห่งนี้เป็นเกาะที่แสนสงบและมีภูมิประเทศ ภูมิอากาศเฉพาะตัว ทำให้เหมาะแก่การเติบโตของพืชสายพันธุ์แปลก ๆ ที่หาชมไม่ได้ที่ไหน เพราะมีรูปร่างหน้าตาแปลกประหลาดกว่าพืชชนิดอื่นบนโลก  ซึ่งต้นไม้บางต้นคงอยู่บนเกาะนี้มานานกว่า 20 ล้านปีแล้ว จากความงดงามและความแปลกประหลาดของพืชพรรณชนิดต่าง ๆ เหล่านี้เองที่ทำให้เกาะแห่งนี้ดูราวกับเป็นสถานที่บนดาวดวงอื่น และเกาะโซโคตร้าแห่งนี้ก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกแล้ว เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2008
สถานที่มหัศจรรย์ 10 อันดับสถานที่มหัศจรรย์ ที่ไม่คิดว่าจะมีในโลก


2.  บ่อน้ำพุร้อนแกรนด์พรีสเมติก (Grand Prismatic Spring)

          บ่อน้ำพุร้อนแกรนด์พรีสเมติก เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของโลก ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน สหรัฐอเมริกา ซึ่งสีสันที่แบ่งเฉดเป็นสีน้ำเงินตรงกลางบ่อและสีส้มที่ขอบบ่อนี้เองที่ทำให้สถานที่แห่งนี้งดงามราวกับอยู่ในเทพนิยาย จนไม่คิดว่าจะมีอยู่บนโลกนี้ โดยนักวิทยาศาสตร์ได้อธิบายถึงการแบ่งเฉดสีของบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ว่า ขอบบ่อที่เป็นสีส้มนั้นเกิดขึ้นจากแบคทีเรียที่เจริญเติบโตอย่างหนาแน่นบริเวณขอบบ่อ เนื่องจากภายในบ่อนั้นอุดมไปด้วยแร่ธาตุและมีอุณหภูมิที่เหมาะสมนั่นเอง
สถานที่มหัศจรรย์ 10 อันดับสถานที่มหัศจรรย์ ที่ไม่คิดว่าจะมีในโลก


3. พามุกคาเล (Pamukkale)
          พามุกคาเล เป็นระเบียงบ่อน้ำพุร้อนที่แสนจะงดงามแห่งประเทศตุรกี ซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากการเกิดแผ่นดินไหวของโลกในอดีต โดยความงดงามสุดวิจิตรของสถานที่แห่งนี้ก็เกิดขึ้นจากบ่อน้ำร้อนที่อุดมไปด้วยแคลเซียมคาร์บอเนต ซึ่งเมื่อน้ำพุร้อนระเหยขึ้นมาเป็นเวลาเนิ่นนาน ไอน้ำก็ทำให้ค่อย ๆ ก่อให้เกิดชั้นของแคลเซียมเกาะบริเวณขอบบ่อจนเกิดเป็นผนังสีขาวขึ้นนั่นเอง
           สำหรับคำว่าพามุกคาลานั้นเป็นภาษาตุรกีอันหมายถึง ปราสาทฝ้าย แต่ในอดีตชนเผ่ากรีก-โรมันที่สร้างเมืองอยู่เหนือสระน้ำแห่งนี้ได้เรียกมันว่า เฮราโพลิส อันหมายถึงเมืองศักดิ์สิทธิ์ ด้วยสรรพคุณในการรักษาบำบัดอาการต่าง ๆ ของบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ ทำให้มันถูกใช้เป็นสปาบำบัดมานานกว่าพันปี แต่ในตอนนี้พามุกคาเลที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้วนั้นได้ปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวลงไปอาบแช่แล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้สถานที่แห่งนี้เกิดความเสียหายขึ้นนั่นเอง
สถานที่มหัศจรรย์ 10 อันดับสถานที่มหัศจรรย์ ที่ไม่คิดว่าจะมีในโลก


4. แม่น้ำสีแดง (Rio Tinto River)

          แม่น้ำสีแดง ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศสเปน มีต้นน้ำไหลมาจากภูเขาเซียร์ร่า โมรีน่า โดยสำหรับสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ของมันนั้นเกิดขึ้นจากแร่โลหะชนิดต่าง ๆ ที่อยู่รอบแม่น้ำสายนี้ ไม่ว่าจะเป็นแร่ทองแดง แร่เหล็ก แร่โลหะ และแร่อื่น ๆ ซึ่งทำให้น้ำในแม่น้ำมีความเป็นกรดสูงมากจนเปลี่ยนเป็นสีแดง เกิดเป็นสถานที่สุดแปลกพิลึกและได้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวภายในประเทศสเปนในที่สุด
สถานที่มหัศจรรย์ 10 อันดับสถานที่มหัศจรรย์ ที่ไม่คิดว่าจะมีในโลก


5. ภูเขาโรไรม่า (Mount Roraima)

          ภูเขาโรไรม่า ตั้งอยู่ในเมืองไรโรม่าของประเทศบราซิล ในอเมริกาใต้ บนพรมแดนที่เชื่อมต่อระหว่าง 3 ประเทศ คือ เวเนซูเอลา บราซิล และกายอานา ซึ่งสิ่งที่ทำให้ภูเขาโรไรม่าได้กลายเป็นสถานที่สุดแปลกของโลกก็คือลักษณะของยอดเขาที่แบนเรียบเหมือนกับพื้นโต๊ะ ราวกับธรรมชาติจับปั้น  ล้อมรอบด้วยผาแนวดิ่งสูง 400  
และสำหรับนักผจญภัยที่ต้องการไต่เขาลูกนี้เพื่อขึ้นไปชมทิวทัศน์บนยอดเขานั้น หนทางที่ดีที่สุดก็คือการไต่ขึ้นบันไดตามธรรมชาติจากผาฝั่งประเทศเวเนซูเอลา แต่สำหรับนักไต่เขาที่ต้องการความท้าทายมากขึ้นนั้น อาจไต่เขาขึ้นจากผาฝั่งประเทศบราซิล และกายอานา ซึ่งไต่ขึ้นไปได้ยากกว่า
สถานที่มหัศจรรย์ 10 อันดับสถานที่มหัศจรรย์ ที่ไม่คิดว่าจะมีในโลก


6. น้ำพุร้อนสีเลือด (Blood Pond)

          ด้วยความงดงามจากการสรรค์สร้างของธรรมชาติที่มีความแปลกไม่เหมือนใครนี้เองที่ทำให้ น้ำพุร้อนสีเลือด หรือ นรกขุมที่เก้าแห่งเบปปุแห่งนี้กลายมาเป็นน้ำพุร้อนที่โด่งดังที่สุดของเมืองเบปปุ จังหวัดโออิตะ บนเกาะคิวชูของญี่ปุ่น ซึ่งสีแดงราวกับเลือดของน้ำพุร้อนแห่งนี้เกิดจากน้ำที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็กที่สูงมากนั่นเอง อย่างไรก็ตามเนื่องจากน้ำมีธาตุเหล็กผสมอยู่มากทำให้น้ำพุร้อนแห่งนี้ไม่เหมาะแก่การลงแช่ หรือใช้อาบน้ำ มันจึงถูกใช้เป็นสถานที่ชมวิวไปนั่นเอง
สถานที่มหัศจรรย์ 10 อันดับสถานที่มหัศจรรย์ ที่ไม่คิดว่าจะมีในโลก


7. ภูเขาช็อกโกแลต (Chocolate Hills)

          สำหรับสถานที่สุดแปลกบนโลกของเราอีกที่หนึ่งคงจะหนีไม่พ้น ภูเขาช็อกโกแลต แห่งเกาะโบโฮล สถานที่ท่องเที่ยวอันโด่งดังของประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งภูเขานับ 1,268 ลูกที่เรียงรายอยู่นั้นมีลักษณะเป็นรูปทรงกรวยคว่ำเหมือนกัน ทั้งยังมีขนาดที่ใกล้เคียงกันในช่วงความสูงตั้งแต่ 30-50 เมตร อย่างไรก็ดีสำหรับชื่อภูเขาช็อกโกแลตของสถานที่แห่งนี้ มีที่มาจากสภาพของต้นหญ้าสีเขียวที่ขึ้นคลุมภูเขาแต่ละลูกจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลในฤดูแล้ง
        นอกจากนี้ ในประเทศฟิลิปปินส์ยังได้มีตำนานหนึ่งที่เล่าถึงต้นกำเนิดของภูเขาช็อกโกแลตด้วยว่า ภูเขาเหล่านี้เป็นสิ่งที่หลงเหลือจากการต่อสู้กันระหว่างยักษ์ทั้ง 2 ตัว ซึ่งยักษ์ตัวหนึ่งได้ล้มตายจากการต่อสู้นั้น ยักษ์ที่เป็นคู่รักของมันจึงได้ร้องไห้จนหยดน้ำตาหล่นร่วงบนพื้นดินแล้วเกิดเป็นภูเขาแต่ละลูกนั่นเอง

สถานที่มหัศจรรย์ 10 อันดับสถานที่มหัศจรรย์ ที่ไม่คิดว่าจะมีในโลก


8. ซาลาร์ เดอ ยูยูนิ (Salar de Uyuni)

          ซาลาร์ เดอ ยูยูนิ เป็นทะเลเกลือที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยพื้นที่ถึง 10,582 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของโบลิเวีย ใกล้ยอดของเทือกเขาแอนดีส ซึ่งชั้นเกลือของสถานที่แห่งนี้เป็นคราบเกลือที่หลงเหลือมาจากยุคก่อนประวัติศาสตร์ ที่มีความหนาเป็นเมตร ทำให้ชั้นเกลือเหล่านี้สามารถรองรับน้ำหนักของรถที่แล่นผ่านทะเลเกลือแห่งนี้ได้โดยไม่แตก และนักท่องเที่ยวก็สามารถเดินไปบนชั้นเกลือเหล่านี้เพื่อชื่นชมกับทัศนียภาพสุดอัศจรรย์ของมันได้
           สำหรับภาพที่งดงามที่สุดของทะเลเกลือแห่งนี้จะเกิดขึ้นในช่วงฤดูฝน ที่ทะเลเกลือจะถูกปกคลุมไว้ด้วยผืนน้ำซึ่งจะสร้างภาพสะท้อนของผืนฟ้าอย่างงดงาม ชนิดที่เราสามารถเห็นฟ้าจรดฟ้าได้เลยทีเดียว
สถานที่มหัศจรรย์ 10 อันดับสถานที่มหัศจรรย์ ที่ไม่คิดว่าจะมีในโลก


9. ทะเลสาบโมโน (Mono Lake)

          ทะเลสาบโมโน แห่งรัฐแคลิฟลอเนีย สหรัฐอเมริกาเป็นทะเลสาบที่ไม่มีทางออกสู่มหาสมุทร ทำให้น้ำในทะเลสาบมีความเค็มอยู่มาก ซึ่งปริมาณเกลือในทะเลสาบแห่งนี้เองที่ก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การเจริญเติบโตของบรรดากุ้ง ในทุก ๆ ฤดูจึงมักจะมีฝูงนกนับพันตัวบินถลาลงมาหากุ้งกินเป็นอาหาร และด้วยความสวยงามของธรรมชาติที่ผสานกับระบบนิเวศเล็ก ๆ นี้เองที่ทำให้ทะเลสาบแห่งนี้ได้ถูกจัดให้อยู่ในทำเนียบสถานที่สุดแปลกของโลก
สถานที่มหัศจรรย์ 10 อันดับสถานที่มหัศจรรย์ ที่ไม่คิดว่าจะมีในโลก


10. ประตูนรก (Hell's Door)


          ประตูนรก แห่งเติร์กเมนิสถาน เป็นหนึ่งในสถานที่ที่รวมไว้ทั้งความแปลกและความน่ากลัว จากสภาพหลุมขนาดยักษ์ ลึกกว่า 70 เมตร ที่มีเปลวเพลิงลุกท่วมตลอดเวลา จนดูราวกับประตูสู่ขุมนรกที่ร้อนระอุ สำหรับประตูนรกแห่งนี้เดิมทีเป็นเหมืองร้างซึ่งมีหลุมขนาดใหญ่ที่มีก๊าซพวยพุ่งออกมา ใน ค.ศ. 1971 คนงานของเหมืองรายหนึ่งจึงตัดสินใจจุดไฟเผาไหม้ก๊าซในหลุม โดยหวังว่าเมื่อก๊าซถูกเผาจนหมด เปลวไฟนั้นจะมอดดับไปเอง โดยที่เขาไม่ทราบเลยว่าแม้เวลาจะผ่านล่วงเลยมานานหลายปี เปลวไฟที่ลุกท่วมหลุมประตูนรกนี้จะยังคงลุกโชนไม่รู้ดับต่อไป
สถานที่มหัศจรรย์ 10 อันดับสถานที่มหัศจรรย์ ที่ไม่คิดว่าจะมีในโลก








อ้างอิง
http://travel.kapook.com/view64391.html


บทความที่2 เรื่อง สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า

     สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ( Bermuda Triangleหรืออาจรู้จักกันในชื่อ สามเหลี่ยมปีศาจ ( Devil's Triangleเป็นพื้นที่สมมุติทางตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ซึ่งมีการอ้างว่าอากาศยานและเรือผิวน้ำจำนวนหนึ่งหายสาบสูญไปโดยหาสาเหตุมิได้ในบริเวณดังกล่าว วัฒนธรรมสมัยนิยมได้ให้เหตุผลของการหายสาบสูญว่าเป็นเรื่องของปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติหรือกิจกรรมของสิ่งมีชีวิตนอกโลก หลักฐานซึ่งบันทึกไว้ได้ระบุว่า เหตุการณ์การหายสาบสูญของอากาศยานและเรือผิวน้ำส่วนใหญ่ได้รับรายงานอย่างไม่ถูกต้องหรือถูกเสริมแต่งโดยนักประพันธ์ในช่วงหลัง และหน่วยงานของรัฐหลายแห่งได้กล่าวว่า จำนวนและธรรมชาติของการหายสาบสูญไปในพื้นที่ดังกล่าวก็มีลักษณะเช่นเดียวกับการหายสาบสูญไปในมหาสมุทรส่วนอื่น ๆ ของโลก

พื้นที่
สามเหลี่ยมเบอร์มิวดามีเนื้อที่ประมาณ 1.14 ล้านตารางกิโลเมตร (4.4 แสนตารางไมล์) อยู่ระหว่างจุด จุด ได้แก่ เปอร์โตริโก้ ปลายสุดของรัฐฟลอริดาในสหรัฐอเมริกา และเกาะเบอร์มิวดา ซึ่งเป็นเกาะตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติกและดินแดนในปกครองของสหราชอาณาจักร มีพื้นที่ครอบคลุมช่องแคบฟลอริดา หมู่เกาะบาฮามาส และหมู่เกาะแคริบเบียนทั้งหมด แต่แนวคิดที่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายกว่า เนื่องจากปรากฏในงานเขียนจำนวนมาก ระบุว่า จุดปลายสุดของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ได้แก่ ชายฝั่งแอตแลนติกของไมอามี, ซานฮสน เปอร์โตริโก้และเกาะเบอร์มิวดา ด้วยเหตุว่าอุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดขึ้นตามแนวชายฝั่งด้านใต้โดยรอบหมู่เกาะบาฮามาสและช่องแคบฟลอริดา
พื้นที่ดังกล่าวเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินเรือพาณิชย์ที่หนาแน่นที่สุดในโลก โดยมีเรือผ่านพื้นที่นี้เป็นประจำทุกวันมุ่งหน้าไปยังเมืองท่าในทวีปอเมริกา ทวีปยุโรป และหมู่เกาะแคริบเบียน เรือสำราญที่ผ่านพื้นที่นี้ก็มีมากเช่นกัน เรือเที่ยวเองก็มักจะมุ่งหน้าไปและกลับระหว่างฟลอริดากับแคริบเบียนอยู่เป็นปกติ นอกจากนี้ยังเป็นพื้นที่ซึ่งมีการสัญจรทางอากาศอย่างหนาแน่นทั้งอากาศยานพาณิชน์และส่วนตัว ซึ่งมุ่งหน้าไปยังฟลอริดา แคริบเบียน และทวีปอเมริกาใต้  

พื้นที่่ของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า


ที่มา
               การกล่าวอ้างถึงการหายสาบสูญอย่างผิดปกติในพื้นที่เบอร์มิวดาปรากฏในวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 1950 ในบทความของแอสโซซิเอด เพลส โดยเอ็ดเวิร์ด ฟาน วินเคิล โจนส์ อีกสองปีต่อมา นิตยสารเฟท ได้ตีพิมพ์ "ความลึกลับที่ประตูหลังของเรา" บทความสั้นโดย จอร์จ แอกซ์. แซนด์ ซึ่งครอบคลุมเครื่องบินและเรือจำนวนมากที่หายสาบสูญไป รวมไปถึงการหายสาบสูญของฝูงบิน19 ฝูงบินกองทัพเรือสหรัฐซึ่งประกอบด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดบีทีเอ็ม อแวงเกอร์ห้าลำ ซึ่งอยู่ในระหว่างการฝึกบิน บทความของแซนด์ได้เป็นงานเขียนแรก ๆ ซึ่งทำให้เกิดเป็นแนวคิดอันเป็นที่รู้จักกันดีของพื้นที่สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา อันเป็นสถานที่ที่เกิดการหายสาบสูญอย่างหาสาเหตุไม่ได้ การหายสาบสูญของฝูงบิน 19 ได้ปรากฏในนิตยสารอเมริกันลีเจียน ฉบับประจำเดือนเมษายน ค.ศ. 1962 โดยกล่าวอ้างว่าผู้บังคับฝูงบินได้กล่าวว่า "."..''เรากำลังเข้าสู่เขตน้ำขาว ไม่มีอะไรดูปกติเลย เราไม่รู้ว่าเราอยู่ที่ไหน น้ำทะเลเป็นสีเขียว ไม่ใช่สีขาว" นอกจากนี้ ยังได้มีการ
กล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่คณะกรรมการสืบสวนของกองทัพเรือยังได้ระบุว่าเครื่องบินทั้งหมดได้ "บินสู่ดาวอังคาร" บทความของแซนด์เป็นงานเขียนชิ้นแรกซึ่งเสนอว่ามีปัจจัยเหนือธรรมชาติที่มีผลต่อเหตุการณ์หายสาบสูญของฝูงบิน 19 ในนิตยสารอาร์กอสซี ฉบับประจำเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1964 บทความของวินเซนต์ เอช. แกดดิส "สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาร้ายกาจ" ซึ่งโต้แย้งว่าฝูงบิน 19 และการหายสาบสูญไปอื่น ๆ เป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบของเหตุการณ์ประหลาด ๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ในปีต่อมา แกดดิสได้ขยายบทความของเขาไปเป็นหนังสือ ชื่อว่า อินวิสซิเบิลฮอไรซอนส์ (Invisible Horizons)
 
ถัดมาในปี ค.ศ. 1969 นายวอลเลซ สเปนเซอร์ ได้เขียนหนังสือว่าด้วยสามเหลี่ยมปริศนานี้โดยเฉพาะออกจำหน่ายในชื่อว่า ลิมโบออฟเดอะลอสต์ (Limbo of the Lost) ถัดจากนั้น ก็มีหนังสือออกจำหน่ายตามมาอีกมากมายเกี่ยวกับความลึกลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ซึ่งก็มียอดจำหน่ายดีแทบทุกเล่ม ที่มีชื่อเสียงเป็นพิเศษคือบทความที่มีชื่อว่า เดอะเดวิลส์ไทรแองเกิล (The Devil's Triangle) ตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ. 1974 ซึ่งเป็นเนื้อหาสำหรับคนที่ชื่นชอบความลึกลับเกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นอันมาก หนังสือแทบทุกเล่มมุ่งประเด็นไปยังมุมมองที่ว่า เบื้องหลังของการสูญหายนี้เกิดจากเทคโนโลยีของสิ่งทรงภูมิปัญญามากกว่าประเด็นอื่น เช่นมนุษย์ต่างดาวหรือมนุษย์ที่อาศัยอยู่ใต้มหาสมุทรบริเวณนั้น ต่างก็หาหลักฐานและทฤษฎีมาถกเถียงกัน และบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดามีอาณาบริเวณที่กว้างมาก ตั้งแต่ ฟลอริด้า-เปอร์โตริโก-เกาะเบอร์มิวดา กินพื้นที่ประมาณ 4.4 แสนตารางไมล์ เพราะฉะนั้นการค้นหาเพื่อพิสูจน์ในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็มีองค์กรของรัฐและเอกชนต่างให้ความสนใจในการสำรวจ โดยหวังว่าจะเจอหลักฐานอะไรก็ตามที่นำมาใช้ไขปริศนาของดินแดนบริเวณนี้ได้
               จนกระทั่งต่อมาในปี พ.ศ.2553โจเซฟ โมนาแกน ได้เสนอว่า สาเหตุที่เรือจมและเครื่องบินตก เกิดจากแก๊สมีเทนที่ก่อตัวขึ้น โดยแก๊สดังกล่าวอยู่ใต้ท้องทะเลในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา โดยเมื่อแก๊สเหล่านี้ขึ้นสู่พื้นผิว มันจะทะยานสู่อากาศ และขยายตัวเป็นวงกว้างและก่อตัวเป็นฟองแก๊สขนาดใหญ่ เมื่อเรือลำใดผ่านเข้าไปในบริเวณนั้น ก็จะเข้าไปสู่ฟองแก๊สมีเทนขนาดยักษ์ จนทำให้เรือเหล่านี้สูญเสียการควบคุม และจมลงในที่สุด 
               ทฤษฎีดังกล่าว จึงกลายเป็นทฤษฎีที่น่าเชื่อถือได้มากที่สุด และอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าได้อย่างชัดเจนที่สุด ดังนั้น จึงไม่แปลกหากที่ผ่านมา เรือหรือเครื่องบินหลายลำจะเสียการควบคุมก่อนถูกดูดกลืนให้จมลงสู่ท้องทะเลลึกอย่างไร้ร่องรอยใด ๆ ให้เห็น เพราะก๊าซมีเธนจำนวนมากนี้จะมีพลังมหาศาลที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างจมลงสู่ก้นบึ้งของท้องทะเล ส่วนคำถามที่ว่าแล้ววัตถุที่จมลงสู่ท้องทะเลนั้นหายไปไหน ทำไมไม่มีใครเคยค้นพบเศษซากของเรือและเครื่องบินที่สูญหายเลยซักครั้ง นั่นก็เป็นเพราะว่าไม่มีใครกล้าเดินทางเข้าไปในบริเวณดังกล่าว และนักสำรวจที่เคยเดินทางเข้าไปเพื่อตรวจสอบความจริงบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าก็ไม่เคยมีใครรอดชีวิตมาเพื่อให้ข้อมูลใด ๆ ได้เลย

วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

บทความที่1 เรื่อง Fallingwater


บ้านน้ำตก ( Falling water )





Frank Lloyd Wright
                         


Fallingwater เป็นชื่อของบ้านสุดมหัศจรรย์ที่ผ่านการสร้างสรรค์การออกแบบจากสถาปนิกนาม Frank Lloyd Wright สถาปนิกชาวอเมริกันผู้มีชื่อเสียงแห่งยุคสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ (Modern Architecture) บ้านหลังนี้ถูกออกแบบเพื่อใช้เป็นสถานที่สังสรรค์กับกลุ่มลูกค้าและพักผ่อน สุดสัปดาห์ของครอบครัวตระกูล Kaufmann โดยมี Edgar J. Kaufmann Sr. เป็นผู้ครอบครองว่าจ้างออกแบบ ในแถวชนบทของแถบตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐเพนซิลเวเนีย ห่างออกไป 50 ไมล์ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองพิตส์เบิร์ก โดยมีระยะเวลาก่อสร้างแล้วเสร็จระหว่างปี ค.ศ 1936 - 1939 รวมเบ็ดเสร็จเป็นระยะเวลาทั้งสิ้น 3 ปี (การออกแบบและวางโครงการเริ่มต้นปี ค.ศ. 1935)



                         

               ความสุดบรรเจิดของบ้านหลังนี้ไม่ใช่แค่เป็นอาคารหลัง หนึ่งที่สถาปนิกนามกระเดื่องอย่าง Frank Lloyd Wright รับผิดชอบการออกแบบเพียงแค่นั้น แต่สิ่งที่สุดพิเศษของมันอยู่ที่การก่อสร้างอาคารมิได้ยื่นอยู่บนชั้นดินโดย ทั่วไป แต่มันเป็นโครงสร้างที่ท้าทายธรรมชาติโดยยื่นเนื้อพื้นผิวน้ำตกจากลำธารแบร์ รัน ออกไปถึง 30 ฟุต โลกปัจจุบันการสร้างอาคารในลักษณะ cateliever ที่มีเทคโนโลยีการก่อสร้างที่ตอบสนองการออกแบบอย่างไร้ขีดจำกัด
แต่...กับสถาปัตยกรรมในยุคนั้นและสภาพพื้นที่การก่อสร้าง นับได้ว่าสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ โดยเฉพาะความงามทางสุนทรียภาพที่เกิดขึ้นระว่างที่ว่าง (Space) กับสิ่งแวดล้อม (siite Surrounding) ของอาคารได้ถูกโอบล้อมบรรจบกันเป็นหนึ่งเดียวระหว่าง คน สถาปัตยกรรมและธรรมชาติที่ตั้ง

    ชื่อ "บ้านน้ำตก (Fallingwater - ฟอลลิงวอเทอร์) จึงเป็นนามเฉพาะที่เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา โลกของวงการสถาปัตยกรรมต้องนึกถึงอาคารหลังนี้เพียงแห่งเดียว มากกว่าอาคารหรือบ้านหลังอื่น ที่ถูกสร้างด้วยบริบทเดียวกันหลังอื่น Site Plan Fallingwater Kaufmann's House ตัวอาคารถูกแบ่งเป็นสองส่วนหลักได้แก่ Main House เป็นส่วนพักอาศัยหลักของครอบครัว อาคาหลังนี้เป็น Private Zone ของบ้านและเป็นอาคารส่วงนที่ยื่นคร่อมน้ำตกของลำธารแบร์รันตามที่กล่าวข้าง ต้น โดยอาคารส่วนนี้แบ่งเป็นสามชั้น




                        






ความน่าสนใจของ Space ในส่วนของพื้นที่ชั้น 1 คือการที่ส่วนประกอบทั้งหมดไม่มีการปิดกั้นด้วยผนังอาคาร ปล่อยให้เป็นพื้นที่โล่งโปร่ง เกิดการถ่ายผ่านสัมผัสทางสายตาให้เกิดความรู้สึกถึงภาวะสบาย บรรยากาศจึงไม่เกิดภาพความอึดอัด


สำหรับส่วนที่สองของบ้าน คือ ส่วน   Guest Wing สำหรับการพบปะและประชุมกับกลุ่มลูกค้าของเครือธุรกิจของครอบครัวKaufmann รวมถึงห้องพักรับรองแขกที่มาเยี่มเยือน นับว่าส่วนนี้เป็น Public Zone ของอาคารที่ใช้เป็นพื้นที่ต้อนรับ








   ในส่วนของการออกแบบเรื่องที่ว่างนั้น โดยหลักคือการที่ Frank Lloyd Wright ปล่อยให้พื้นที่ส่วนใหญ่ของด้านที่สัมผัสกับแนวลำธาร เปิดโล่งไม่มีแนวผนังบดมองมุมมองของทัศนียภาพภายนอก การใช้แนวผนังกระจก ที่ลดความถี่ของกรอบวงกบไม่ให้เกิดความเกะกะทางสายตา



            



               โดยสรุป...Fallingwater นับว่าเป็นสถาปัตยกรรมประเภทบ้านพักอาศัย ที่มีนัยยะการสื่อสะท้อนแนวทางการออกแบบของ Frank Lloyd Wright ที่สร้างรูปแบบความคิดที่เรียกว่า "แนวคิดสถาปัตยกรรมแบบ Organic Architecture" ที่เน้นกระบวนการออกแบบให้สัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมแบบ Passive Design หรือการออกแบบที่ไม่เน้นการใช้อุปกรณ์ทางเทคนิคมาสร้างบรรยากาศ  แต่ใช้ภาวะสบายของคุณภาพที่ว่างเป็นตัวกำหนดการเคลื่อนที่ของบรรยากาศในตัวมันเองและความสัมผัสแห่งวัสดุที่มีภาษาตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อมว่าต้องแทนสิ่งนั้น สิ่งนี้ ความเป็นธรรมชาติของบ้านหลังนี้มันกลมกล่อมและอ่อนน้อมถ่อมตัวกับสภาพแวดล้อมและบริบทในภาษาทางสถาปัตยกรรมเป็นอย่างดี